ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ตำนาน

๑๙ มิ.ย. ๒๕๕๓

 

ตำนาน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

มันเป็นปัญหาภาวนา แล้วปัญหาหลังมันจะเป็นปัญหาเรื่องพระบรมสารีริกธาตุนะ

ถาม : อันนี้ ๑๐๑. จิตเย็นที่ใจ เวลานั่งสมาธิช่วงแรกจะมืด ต่อมานั้นก็จะมีความรู้สึกว่าสว่างขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีเวทนาโดยปวดที่หัวเข่า ตามมาเป็นระยะทั้งซ้ายและขวา บางทีนั่งสมาธิบ้าง บางทีก็ไม่ค่อยได้นั่ง การปฏิบัติไม่ค่อยต่อเนื่อง แต่พักหลังรู้สึกเหมือนมีน้ำขังอยู่ที่หัวใจ (หลวงพ่อ : นี่เวลาปฏิบัติแล้วเขาไม่เข้าใจเห็นไหม) พักหลังรู้สึกว่าเหมือนมีน้ำขังอยู่ที่หัวใจ บางทีมีความรู้สึกเย็น และเย็นขึ้นเรื่อยๆ นานๆ เป็นครั้ง แต่เราไม่สามารถบ่งบอกได้ ความรู้สึกเย็นมันจะมาของมันเอง มีครั้งหนึ่งมีความรู้สึก ว่ากำลังโมโหมากและกำลังมีอารมณ์โกรธ แต่ในใจรู้สึกเย็น ผิดจากความรู้สึกทางร่างกายที่กำลังโมโห จึงอยากถามพระอาจารย์ว่า

๑. ความรู้สึกเย็นเป็นอุปาทานของใจหรือไม่ หรือคิดขึ้นมาเอง

๒. ความรู้สึกเย็นนั้นคือ จิตสงบหรือยัง แต่ทำไมเรายังรู้สึกว่ามีอารมณ์โกรธ

๓. การปฏิบัติดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ และจะต้องทำอย่างไรต่อไป

หลวงพ่อ : เอา ๑. ก่อน ความรู้สึกเย็นเป็นอุปาทานของใจหรือไม่ หรือคิดขึ้นมาเอง เห็นไหม คำว่าความรู้สึกเย็นนี่ มันเย็นเพราะเหตุใด โดยปกตินะ เวลาจิตมันสงบขึ้นมา มันจะแปลกประหลาดเห็นไหม มันแปลกประหลาดกว่าอารมณ์ความรู้สึกเดิมไง ความรู้สึกโลกนี่มันเป็นอารมณ์ธรรมดา แล้วที่เราพูดกันอยู่ทุกวันนี่เห็นไหม เวลาใครปฏิบัติแล้วบอกว่า ว่างๆ ว่างๆ นะ ความรู้สึกมันไม่เย็น ความรู้สึกมันไม่มีความแตกต่าง

อันนี้มันอะไร ความรู้สึกเย็นเป็นอุปาทานหรือเปล่า คำว่าเป็นอุปาทานหรือเปล่า ถ้าเป็นอุปาทานนะ เราจะอุปาทานขึ้นมาให้มันเป็นอุปาทาน แต่อันนี้มันเป็นอุปาทานหรือเปล่า มันถึงไม่เป็นอุปาทานไง มันไม่เป็นอุปาทานเพราะว่า เราไม่ชี้นำ อุปาทานของเรามีใช่ไหม เราก็ชี้นำสิ่งนั้นให้เป็นอย่างที่เราต้องการ นี้คืออุปาทาน แต่นี้พอมันเป็นไปแล้วเห็นไหม พอมันเป็นไปแล้วเรามีสติ เห็นไหม มันเป็นอุปาทานหรือเปล่า แสดงว่ามันไม่เป็นอุปาทาน

ทีนี้ของอย่างนี้ ที่ทำให้จิตมันเย็นนี่นะ มันจะเป็นอย่างที่เราคิดเองไม่ได้ หรือเราตั้งใจให้มันเป็นไม่ได้ ทำไมมันถึงเป็นเอง นานๆ เป็นครั้งหนึ่ง แล้วนี่สิ่งๆ นี้ นานๆ เป็นครั้งหนึ่ง แล้วเป็นนี่มันเหมือนกับมีน้ำขังอยู่ในหัวใจ คำว่าน้ำขังอยู่ในหัวใจนี่นะ มันไม่ใช่น้ำขังหรอก ถ้าน้ำขังอยู่ในหัวใจนี่มันคนป่วยแล้ว จิตใจมันป่วยนี่เห็นไหม ที่เขาทำบายพาสกัน เพราะเส้นเลือดมันผิดปกติ แต่ถ้ามีน้ำขังในหัวใจนะ อย่างนี้ต้องส่งโรงพยาบาลแล้ว

ทีนี้มันไม่ใช่น้ำขังในหัวใจ มันเป็นความร่มเย็นในหัวใจ น้ำขังในหัวใจ มันเป็นความผิดปกติ ร่างกายมันป่วย แต่ความรู้สึกในใจของเรา เห็นไหม รสของธรรมชนะรสทั้งปวง รสของธรรมเห็นไหม ความร่มเย็นนี่ คำว่าน้ำขังอยู่ในใจ มันมีความร่มเย็นของมันอยู่ในใจ หลวงตาบอกว่า กำหนด พุทโธๆ พุทโธๆ บ่อยๆ จนจิตมันสงบ บ่อยครั้งเข้า บ่อยครั้งเข้า จนจิตเป็นสมาธิแล้วตั้งมั่น

คำว่าจิตเป็นสมาธินี่นะ เวลาเราทำความสงบครั้งที่ ๑ แล้วก็คายออกมา แล้วมันก็เป็นปรกติ มันยังไม่มีความชำนาญ ยังเข้ายากออกยาก เราก็ทำบ่อยครั้งเข้า ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ครั้งที่ ๔ ครั้งที่ ๕ ทำบ่อยเข้า ทำบ่อยๆ จนเราชำนาญ พอชำนาญขึ้นมา เราจะเข้าจะออกด้วยความชำนาญ พอด้วยความชำนาญ เขาเรียกว่าจิตตั้งมั่น

ฉะนั้นคำว่าน้ำขังนี่ เราจะบอกว่ามันเป็นหลักของใจ เป็นฐานของจิต กรรมฐาน เห็นไหมเวลาบอกว่าทำกรรมฐาน ต้องมีสถานที่ เราบอกว่าเวลาทำกรรมฐานนี่มันต้องฐานที่ตั้งแห่งการงาน เราทำงานยังต้องมีโต๊ะทำงาน จิตก็เหมือนกัน เวลามันสงบบ่อยครั้งเข้า คำว่าน้ำมันขังนี่มันมีหลักของมันไง เหมือนมันตั้งมั่น ถ้ามีหลักของมันเห็นไหม มีสถานที่ มีออฟฟิศให้ทำงาน จิตมันตั้งมั่นขึ้นมานี่ เหมือนน้ำขังอยู่ในใจ แล้วมีความร่มเย็น นี่เวลากำหนด พุทโธๆ พุทโธๆ นะจนจิตสงบบ่อยครั้งเข้า จนเป็นสมาธิ พอจิตเราเป็นสมาธิแล้ว พอออกจากสมาธิมาแล้ว เห็นไหม หลวงตาบอกว่าท่านฟังเทศน์หลวงปู่มั่น เทศน์ทั้งวัน จนจิตมันลงนะ พอจิตมันลงนะ จิตมันดับหมด คำว่าดับมันไม่ได้ดับตัวจิตหรอก ตัวจิตตายไม่ได้ คำว่าดับคือดับอารมณ์ความรู้สึกไง ปกติเราจะมีหู หูนี่เราได้ยินใช่ไหม ตาเราเห็นใช่ไหม คำว่าดับ คือเรารู้สึกในจิต แต่หูไม่ได้ยินเขาเรียกหูดับ เห็นไหมหูดับ ผิวหนังดับ ทุกอย่างดับหมดเลย มันดับไง มันไม่ออกมารับรู้ มันดับอารมณ์ความรู้สึก ไม่ได้ดับจิตหรอก แต่ภาษาพูด เขาจะบอกว่าจิตดับหมดเลย พอจิตดับไป ๓-๔ วัน เดินอยู่นะ ท่านบอกว่าขนาดท่านเดินอยู่ตามปกติในวัดนี่ จิตมันดับหมด เคลื่อนไหวไปโดยปกติ แต่ไม่ได้รับรู้สิ่งใดเลย

เราจะย้อนกลับมาที่น้ำขังในหัวใจ คำว่าน้ำขังในหัวใจเห็นไหม เราภาวนา พุทโธ พอจิตมันลงเห็นไหม แล้วมันเย็นนี่ นี่เรารู้ของเราได้ เห็นไหม เรารู้ของเราได้ นี่คือผลของมัน เวลาเขามาถามนี่บอกนั่งๆ สมาธิ ไปแล้วนี่ ทำไมออกมาแล้วยังมีความรู้สึกอีก เราบอกอาฟเตอร์ช็อกไง เวลาแผ่นดินไหว มันแผ่นดินไหวใช่ไหม แผ่นดินไหวนี่จิตมันสงบ พอแผ่นดินไหวแล้วมันจะมีอาฟเตอร์ช็อกตามมา มันยังมีความสะเทือน สั่นๆๆ ตามมา

ทีนี้พอจิตมันสงบแล้ว มันมีความร่มเย็นที่หลงเหลืออยู่ตามมา พอมันตามมานี่ มันจะเป็นอย่างนี้ เวลาจะเริ่มภาวนา นี่ไงสิ่งที่พูดนี้ การภาวนาตามข้อเท็จจริง มันจะมีผลตอบสนองอย่างนี้ ถ้ามีเหตุต้องมีผล ถ้ามีการกำหนดพุทโธ มีการทำสมาธิ ผลมันก็ต้องมีขึ้นมา พอผลมีขึ้นมา มันถึงเป็นอย่างนี้ไง ไม่ใช่ ว่างๆ ว่างๆ ไอ้ว่างๆ ว่างๆ นี่เป็นสัญญาอารมณ์

ที่ว่าเราบอกว่า สัญญามันดับ ทุกอย่างมันดับ ดับมันเป็นตัวจิต แต่อันนี้มันไม่ได้ดับขึ้นมา ว่างๆ ก็คือความคิด ว่างๆ ก็คือความคาดหมาย ทุกอย่างเราเปรียบเทียบเอา เปรียบเทียบว่าว่างๆ ว่างแบบเปรียบเทียบ พอเปรียบเทียบนี่ เราต้องอธิบายสิ่งที่เราเปรียบเทียบมา ให้เขารับรู้ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันก็เลยบอกว่า ว่างๆ ว่างๆ โอ้ทำไมมันเวิ้งว้าง แบบนี้มันไม่มีผล

แต่ถ้ามีผลขึ้นมานี่มันจะเป็นโดยข้อเท็จจริง โดยเนื้อหาสาระใช่ไหม นี่จิตเย็นๆ จิตมันเย็น มันผลของสมาธิ ผลของความปล่อยวางของจิตเราเอง ถ้าจิตเราปล่อยวาง มันมีผลอย่างนี้ นี่ไงรสของธรรมมันมีผลไง รสของธรรมชนะรสทั้งปวง การปฏิบัติมันต้องมีผลของมัน ถ้ามีผลของมันนี้ มันก็เป็นข้อเท็จจริงของมัน ทีนี้พอถามว่าจิตเป็นอุปาทานหรือเปล่า ไม่เป็น

ถาม : ๒. ความรู้สึกเย็นนั้น คือจิตสงบหรือยัง ถ้ามันสงบ ทำไมมันยังรู้สึกอารมณ์โกรธ

หลวงพ่อ : จิตมันสงบ ส่วนอารมณ์โกรธมันเป็นอีกอารมณ์หนึ่ง จิตสงบคือจิตสงบ จิตคือฐานนะ จิตถึงไม่ใช่ความคิด จิตถึงไม่ใช่ความคิด จิตถึงไม่ใช่สัญญา จิตคือจิต โกรธคือโกรธ โลภคือโลภ หลงคือหลง มันเป็นคนละอารมณ์กัน ทีนี้พอจิตมันสงบแล้ว มันสงบใช่ไหม เรานั่งอยู่นี่ใจเราเย็นไหม เวลาลมพัดมานี่ มันเย็นขึ้นมาอีกไหม เวลาไปนั่งอยู่ที่มีแสงแดดมันจะร้อนไหม ใจเราเย็นไหม เย็น แล้วความร้อนจากแสงแดดนั้นล่ะ ความร้อนจากแสงแดดมันมีความร้อนใช่ไหม มันโดนเรามันก็ร้อนใช่ไหม จิตมันเย็นขึ้น แต่สิ่งที่มันมีข้อมูลในใจไง นี่กิเลส

กิเลสมันอาศัยขันธ์ อาศัยความรู้สึก พอมันโกรธขึ้นมา โกรธมันแว็บๆแว็บๆ ขึ้นมา เวลาจิตมันสงบแล้วนะ เราควรพิจารณา เช่น พิจารณาจนทิ้งร่างกาย พิจารณาจนจิตมันปล่อยวางแล้ว แต่มันยังมีกามราคะไง นี่คือสิ่งที่มันฝังอยู่ในใจ จิตสงบขนาดไหนนะ มันก็ยังมีความรู้สึกอยู่ในจิตใต้สำนึก ความรู้สึกที่อยู่ในจิตใต้สำนึกนี่ มันมีของมัน มันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน เพราะมันเกิดจากจิตทั้งหมด ทุกอย่างเกิดจากจิต มันเป็นคนละเรื่อง

ความรู้สึกสงบ ความรู้สึกเย็น เห็นไหม ความรู้สึกเย็นนั้นคือจิตสงบหรือยัง

สงบ แต่ทำไมมันยังรู้สึกถึงอารมณ์โกรธล่ะ ความสงบคือจิตสงบนี่ไงที่ว่าสมาธิแก้กิเลสไม่ได้ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้หรอก ความสงบนี่มันไม่ฆ่ากิเลสหรอก ความสงบนี้มันสงบจากกิเลส สงบจากสัญญาอารมณ์ สงบเข้ามาเป็นตัวอิสระ แต่ความมีอิสระของเรานี้มันก็อยู่ได้ชั่วคราว มันมีข้อมูลพื้นฐานในใจ พอข้อมูลพื้นฐานในใจนี้มันกระเพื่อม คิดเรื่องไม่พอใจก็โกรธ คิดเรื่องพอใจมันก็รัก ข้อมูลพื้นฐานในใจนี่มันไม่ใช่สมาธิ สมาธิคือจิตสงบ แต่ไอ้กิเลส ไอ้อารมณ์ความรู้สึกนี่มันยังมีอยู่ เวลามันกระเพื่อมมันก็ไปรับรู้ พอรับรู้ขึ้นมา ถ้าฉลาดนะ พอกระเพื่อมพอรับรู้ จับสิ จับอารมณ์โกรธ จับอารมณ์โลภ จับอารมณ์หลง

จิตสงบแล้วนะ จับความโกรธ ความโลภ ความหลง แล้วพิจารณามัน หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านสอนอย่างนี้ประจำ แล้วพิจารณามัน จิตเห็นอาการของจิต เวลาจิตสงบนี่ เวลาจิตร่มเย็นสุข เย็นไหม ความโกรธนั้นคืออะไร คืออาการของมัน คือความรับรู้ของมัน จิตเห็นอาการของจิต ถ้าจิตเห็นอาการของจิตแล้วจับได้ แต่นี่มันไม่จับไง เห็นอยู่ เห็นขโมยมาปล้นมาขโมยเงินตัวเองไป แล้วก็นั่งดูมัน แล้วก็ไปบอกตำรวจว่าขโมยมันมาขโมยตังค์ไป เขาทำอย่างไรล่ะ มันเดินมาหยิบแล้วก็เดินไป แล้วทำไมไม่จับมันล่ะ ทำไมไม่รักษาสมบัติของตัว ทำไมไม่ดูแลสมบัติของตัว

เวลามันโกรธ นี่คือเราเสียแล้ว ทำไมไม่มีสติปัญญาจับมัน ถ้าจิตจับอารมณ์ความโกรธ ความโลภ ความโกรธ ความหลง แล้ว นั่นล่ะ จับอาการของจิต นั่นนะไอ้ผู้ร้าย จิต เห็นไหม คือจิตของเรา คือเจ้าของ คือ ภวาสวะ คือตัวภพ คือตัวหลักตัวฐาน ตัวเกิดเป็นคน เป็นเทวดา อินทร์พรหม แล้วเห็นผู้ที่มากระทำร้ายตัวเอง ทำไมไม่จับ

ถ้าจับขึ้นมานะ จิตเห็นอาการของจิต แล้ววิปัสสนามัน วิปัสสนาเกิดตรงนี้ไง ความรู้สึกเย็น คือจิตสงบไหม ใช่ แล้วทำไมมันยังรู้สึกถึงอารมณ์โกรธล่ะ นี่ มันชัดเจนมากเลย ชัดเจนเพราะอะไร เพราะความโกรธ ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่ มันมีของมันตลอด จิตสงบก็ส่วนจิตสงบ ส่วน โลภ โกรธ หลง มันไม่เกี่ยวกัน แต่เพราะจิตสงบแล้วมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราฝึกตามนั้น พอจิตสงบแล้ว พอความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดขึ้นมา มันขยับขึ้นมา แล้วจับมันได้ นั้นคือตัวกิเลสอาศัยสิ่งนี้ออกมาทำลายเรา แล้วเราพิจารณามันเห็นไหม นั่นวิปัสสนาเกิดตรงนั้น นี่ไงปัญญาจะเกิดตรงนี้ไง

พุทโธๆ พุทโธๆ นี้ทำให้จิตสงบ เราภาวนาของเราเพื่อความสงบของใจ ถ้าความสงบของใจเห็นไหม โดยปกติเราก็รู้ได้ อย่างคนทั่วไป ทำไมเราขี้โกรธ ทำไมเราขี้หลง ทุกคนก็รู้ได้ แต่รู้ได้ไม่เห็นนะ รู้ได้แต่เป็นผลของมัน นี่รู้ได้ต่อเมื่อมันโกรธแล้ว เราหลงแล้ว สิ่งนี้ไม่ดีทุกคนก็รู้ แต่ว่ามันทำ และมันมีโดยธรรมชาติ เราแก้ไขอะไรไม่ได้ เราแค่ลืมๆ มันไป ก็เป็นพระอรหันต์น่ะ นั่นก็เป็นความคิดอันหนึ่ง

แต่ถ้าเป็นอริยสัจ เป็นวิปัสสนาเห็นไหม จิตต้องสงบ พุทโธๆ นี่เพื่อให้สงบ สงบแล้วนี่ พอมันจับได้นี่ ความจับได้นี่มันทึ่ง นี่จิตสงบมีความร่มเย็นไหม เหมือนน้ำขังในหัวใจเลย โอ๋ มีความร่มเย็น มีความเย็นในหัวใจ จิตเย็นมาก จิตนี้สงบมาก แต่ทำไมมันโกรธ มันโกรธเพราะ มันคนละเรื่องกัน นี่มันชัดเจนมาก สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐานคือความสงบของใจ ทำใจให้สงบ ทำใจให้มีสถานที่ตั้ง

แล้วพอมันออก พอมันเห็นว่าความโกรธเห็นไหม แล้วมันจับได้ ฉะนั้นมันรู้ได้ แล้วรู้ด้วยตัวเองนี่เป็นปัจจัตตัง ตัวเองรู้ว่าตัวเองผิดนี่ คนยอดคน เราเห็นปั๊บเราโกรธเองนี่ ไม่ต้องมีใครมาบอกเรานี่ สุดยอดเลย แต่โลกที่เขารู้ได้นี่ รู้ได้ด้วยสติปัญญา โดยสามัญสำนึก แต่ถ้ามันรู้ได้ด้วยวิปัสสนานี่มันจะแก้กิเลสได้ ฉะนั้น จิตสงบใช่ไหม ใช่ แล้วทำไมมันถึงโกรธ โกรธมันมีกิเลส สงบแล้วเห็นกิเลสก็จับกิเลสให้ได้ มันคนละเรื่องกัน

แต่มันอยู่ใน ที่มาที่เดียวกัน คือที่จิตเหมือนกัน แต่คนละเรื่องกัน ถ้าไม่คนละเรื่องกัน พระพุทธเจ้าไม่สอนถึงเรื่อง สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สมถกรรมฐาน ถ้าไม่สมถกรรมฐานจะเห็นอะไรอย่างนี้ไม่ได้ จะจับอะไรอย่างนี้ไม่ได้ ถ้ามันจะจับได้ นี่เห็น แต่จับไม่ได้ ไม่เข้าใจ แต่ถ้าจิตมันสงบแล้วพอจิตสงบแล้ว เห็นอาการของจิตแล้วมันจับได้ เกิดวิปัสสนาแล้วทำต่อไป มันจะมีอาการแปลกประหลาดกว่านี้อีกมากมายเลย ถ้ามีอาการแปลกประหลาดอีกมากมายนั้นค่อยว่ากัน

๑. ทำอย่างนี้ถูกต้องไหม ถูก การปฏิบัติดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ แล้วจะต้องทำอย่างไรต่อไป ทำความสงบนะ แล้วพอมันโมโหมันโกรธนี่สังเกตมัน นี่ข้อที่ ๒ ก็ตอบไปแล้วว่าทำอย่างไรต่อไป ให้พิจารณาซ้ำต่อไป ซ้ำต่อไป แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรา

ถาม : ๑๐๒. อยากทราบข้อปฏิบัติของวัดป่าสันติพุทธาราม

หลวงพ่อ : วัดมันปฏิบัติไม่ได้หรอก วัดมันเป็นวัตถุ การปฏิบัติคือข้อวัตร ครูบาอาจารย์สอน

ถาม : ๑๐๓. เมื่อสิ้นพระพุทธศาสนาแล้ว พระบรมสารีริกธาตุจะมารวมตัวและทำลายตัวเอง เป็นทุกๆ พระพุทธศาสนาหรือไม่ กราบนมัสการหลวงพ่อสงบที่เคารพ

๑. ผมเคยได้ยินหลวงพ่อพูดว่า “เมื่อศาสนาพุทธและพระสมณโคดมหมดสิ้นลง พระบรมสารีริกธาตุของท่าน จะมารวมตัวกันแล้วทำลายตัวเอง เพื่อไม่ให้เหลือหลักฐานไปถึง ศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย” ไม่ทราบว่า ข้อเท็จจริงอันนี้ เป็นจริงสำหรับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า พระองค์ก่อนๆ หรือไม่ครับ

๒. เคยได้ยินมาว่า สำนักปฏิบัติธรรมบางแห่ง มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ฝังอยู่ใต้ดิน เช่นพระบรมธาตุของพระพุทธกัสสปะ ของพระเวสภู และของพระวิปัสสีเป็นต้น ผมอยากถามว่าแบบนี้มีทางเป็นไปได้หรือไม่ครับ

หลวงพ่อ : ๑. ได้ยินหลวงพ่อพูดว่า “เมื่อพุทธศาสนาหมดสิ้นไป พระบรมสารีริกธาตุของท่าน จะมารวมตัวกันแล้วทำลายตัวเอง อันนี้จริงไหม จริง เราจะยืนยันจริงตามในพระไตรปิฎก ในพระไตรปิฎกบอกว่า พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าจะนิพพานนี่ จะมารวมกัน แล้วมันจะหมด จะบอกว่าทำลายตัวเอง การบอกว่าทำลายตัวเองนี่ มันเป็นการพูดภาษาสมมุติ ภาษาพวกเราเอง แต่ความจริงมันย่อยสลายของเขาไป มันเป็นยุคเป็นคราว

ฉะนั้นกรณีอย่างนี้มันเป็นความจริงหมด ถ้าพอบอกว่า เป็นความจริงปั๊บ แล้วนี่ของพระพุทธเจ้านะ แต่มันมีของพระกัสสปะ พระกัสสปะกับพระศรีอริยเมตไตรย มีบุญมีเวรต่อกัน ที่ว่าให้ช้าง ให้ช้างไปกอดเสาไฟแดงๆ น่ะ ฉะนั้น พระกัสสปะไปนี่ พระกัสสปะยังไม่ได้เผาศพ อยู่ในหิมาลัย ที่ว่าฝังอยู่ รอพระศรีอริยเมตไตรย อันนี้มันกรณีเวรกรรม นี่กรณียกเว้น มันจะมีข้อยกเว้นเล็กๆ น้อยๆ

แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วจะเป็นอย่างนี้หมด เพราะพระบรมสารีริกธาตุที่ว่าจะมารวมตัวกันนี่นะ มันเป็นอันหนึ่งนะ แต่เราดูสิ เราดูพระธาตุของครูบาอาจารย์สิ ถ้าเราทำคุณงามความดีนะ นี่สิ่งนั้นจะเพิ่มขึ้นมาได้ แต่ถ้าไม่ทำคุณงามความดี หรือทำผิดพลาดนี่ พระธาตุจะหายหมดเลย นี่ไม่ต้องถึงคราวว่า พระสมณโคดม ถึงเวลาจะสิ้นพระศาสนาจะมารวมตัวกัน ถ้าเราทำไม่ดีเขาไปอยู่แล้วไม่มีอยู่กับเราหรอก

แต่ถ้าทำคุณงามความดีนะ อย่างเช่น พระบรมสารีริกธาตุนี่ อย่างกรณีของพระบรมสารีริกธาตุนี่ มันกึ่งพุทธกาลนะ เราคิดดีๆ สิ สมัยตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าใช่ไหม แล้วก็ ๑๐๐ ปี ๒๐๐ ปี มาถึงสมัยพระเจ้าอโศก ฟื้นฟูขึ้นมา แล้วมันก็จางหายไป จนสุดท้ายนะ กาลเวลานะ เกือบ ๒,๐๐๐ กว่าปีเห็นไหม ถึงเวลาแล้วนี่ ศาสนานี่โดนทำลาย โดนกลืนหมดเลย ทางอินเดียนี่ แล้วพอมันจะมาเจริญรุ่งเรือง กึ่งพุทธกาลไง คำว่ากึ่งพุทธกาลคือพระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้นะ

พอกึ่งพุทธกาลเห็นไหม พออินเดียนี่เป็นเมืองขึ้น พอพวกอังกฤษเข้ามา อังกฤษนี่เขาชอบเรื่องประวัติศาสตร์ ชอบเรื่องข้อเท็จจริงเห็นไหม เขาขุดคุ้ยขึ้นมา เขาไปเจอพระบรมสารีริกธาตุ คำว่าพระบรมสารีริกธาตุมันอยู่ในวัดเก่า อยู่ในเจดีย์ สถูปเก่าๆ ในสมัยพุทธกาล ไอ้คำว่าสมัยพุทธกาลนี่เพราะอะไร เพราะมันเป็นวัดเป็นวา เห็นไหม เพราะถ้าบอก คนทำไม่ดีพระบรมธาตุก็ต้องหายหมดสิ ทุกอย่างต้องหายหมดเลย

พวกเดียรถีย์นอกศาสนานี่ เวลาปกครองอินเดียอยู่นี่ เขาทำลาย เขาเหยียบย่ำ แล้วพวกถาวรวัตถุต่างๆ นี่ อยู่ใต้ดินหมดล่ะ นี่ที่เราเห็นอยู่นี่ เขาขุดค้นแล้วนะ เขาขุดค้น เขาได้บูรณะแล้ว ฉะนั้นเราจะบอกว่า พอกึ่งพุทธกาลขึ้นมาเห็นไหม พออินเดียเข้ามาปกครองนี่ พอเขาขุดขึ้นมานี่ เจอพระบรมสารีริกธาตุ เจอทุกสิ่งทุกอย่างเลย แล้วเขาจะให้ใครล่ะ เขามาให้เมืองไทยเอามาให้พม่า เพราะว่านับถือพุทธศาสนา

ทีนี้ พระบรมสารีริกธาตุนี่ ในเมืองไทยเรานี่เยอะแยะ นี้เพียงแต่ว่า เวลาเราบอกว่า โอ้โฮ พระบรมสารีริกธาตุมาจากชาตินั้น นานาชาติ โอ้โฮ บ้าบอคอแตก เราจะบอกว่าสิ่งนี้มันเป็นวัตถุ จริงๆ แล้วเรื่องพระพุทธเจ้าสอนธรรมและวินัยนี่ จะเป็นศาสดาของเธอ คำว่าศาสดาคือตัวจริงไง คือความรู้สึกอันแท้จริงไง ทีนี้ พระบรมสารีริกธาตุอันหนึ่งนะ พระบรมสารีริกธาตุหมายถึงว่า ถ้าทำไม่ดีมันจะหายไป

แล้วในอินเดียในสมัยโบราณนะ สมัยก่อนเมืองขึ้นนี่มันเป็นลัทธิอื่นหมดแล้ว แล้วพระบรมสารีริกธาตุอยู่ทำไมล่ะ ทำไมไม่หายไป อยู่ อยู่เพราะว่าที่นี่เป็นที่สาธารณะ คือว่าเป็นวัดวาอารามเก่า เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าเคยอยู่เก่าใช่ไหม แล้วกึ่งพุทธกาลนี่คือว่าแสดงขึ้นมา กึ่งพุทธกาลคือก่อน ๒,๕๐๐ เพราะบอกว่า มีการขุดค้นนี่เขาก็บูรณะ พอเขาบูรณะเขาก็มาให้ชาติที่นับถือพระพุทธศาสนา

คำว่าให้นี่เขาให้ เขาให้เพราะว่าเขาไม่ศรัทธา เพราะเขาไม่ใช่ชาวพุทธ แต่เขาว่าชาวพุทธ นี่ ให้เพราะชาวพุทธนี่ดูแลรักษาใช่ไหม นี่คำว่าดูแลรักษานี่มันก็เป็นกึ่งพุทธกาลที่มันจะเชิดชูศาสนาไง แล้วพอมาถึงตรงนี้มันก็เกิดขึ้นมา ทีนี้พระบรมสารีริกธาตุ ต่อไปนี่เราจะบอกว่า โดยฤทธิ์โดยเดชโดยบุญกุสล พระบรมสารีริกธาตุนะ จะไปรวมกันอย่างนั้น ในพระไตรปิฎกบอกไว้ แม้แต่ที่ดาวดึงส์ พระเขี้ยวแก้วก็จะลงมารวมกันนี้ในพระไตรปิฎก

ฉะนั้นอันนี้เป็นข้อเท็จจริง อันนี้อยู่ในพระไตรปิฎก คำว่าพระไตรปิฎกคือธรรมวินัยที่พระอานนท์ฟังมา แล้วจดจารึกกันมา อันนี้เป็นเรื่องจริง พอเรื่องจริงแล้วนี่ ความเป็นจริงพวกเรามันยังไม่ถึงความจริง

ถาม : ๒. เคยได้ยินมาว่า สำนักปฏิบัติธรรมบางแห่ง มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ฝังอยู่ใต้ดิน เช่นพระบรมธาตุของพระพุทธกัสสปะ ของพระเวสภู และของพระวิปัสสีเป็นต้น

หลวงพ่อ : ไอ้กรณีอย่างนี้นะ มันเป็นตำนาน เราจะเข้าใจคำว่าตำนานไหม คำว่าตำนานนี่นะ เราไปดูสิ ไปดูทางอีสาน ไปดูวัดที่เขาเป็นตำนานนี่ เขาสร้าง พระพุทธเจ้า ๕ องค์ไง ยังดีนะ นี่ยังมี พระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า พระกัสสปะ พระเวสภู พระวิปัสสี ไม่มีบอกของพระศรีอริยเมตไตรยด้วย พระศรีอริยเมตไตรยยังไม่ตรัสรู้นะมึง จะไปเอาพระบรมสารีริกธาตุของพระศรีอริยเมตไตรยมาได้อย่างไร

อันนี้คือตำนานใช่ไหม เพราะตำนานนี่ เพราะคำว่าตำนานนี่ พระพุทธเจ้าบอกว่านี่ ในศาสนาของพระพุทธเจ้านี่ มันมี ๕ องค์ ใช่ไหม มีพระพุทธเจ้า แล้วจะมีพระศรีอริยเมตไตรย ฉะนั้นในวัดต่างๆ ทั่วไป บางวัดนี่ เขาจะมีรูปพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ เคยได้ยินคำว่า พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ไหม เราก็ได้ยินกัน นี้คำว่าพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นี่ ก็คือ ภัทรกัป คือกัปของพระพุทธเจ้านี่มี ๕ พระองค์ แล้วต่อไปก็ยังมีอนาคตวงศ์อีก ๑๐ องค์ แล้วพระพุทธเจ้าจะมีต่อไปเรื่อยๆ

ฉะนั้น ไอ้อย่างนี้มันเป็นตำนาน ตำนานนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ตำนานนี้จะเกิดขึ้นมาได้เพราะเราอาศัยพุทธวิสัย อาศัยปัญญาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่เห็นไหม อนาคตังสญาณนี่ รู้อดีตและอนาคตรู้หมด พอรู้หมดก็พูดไว้ พูดไว้ให้พระอานนท์ จำไว้ พระอานนท์ก็มาจารึกไว้ แล้วเราก็ไปรู้ ทีนี้มันเป็นตำนาน สิ่งที่พระพุทธเจ้าพูดเป็นความจริง แต่ความจริงนี้มันมีที่มาที่ไป แต่สิ่งที่พอมนุษยชาติมาอยู่นี่ เนี่ย ไอ้อย่างนี้มันมาจากไหน

คำว่าตำนานนี่มันเป็นความเชื่อนะ ความเชื่อนี่ดูสิ เราไปตามหมู่บ้านนี่เห็นไหม เขาจะมีนิทานพื้นบ้าน นิทานพื้นบ้านนี่ เขาจะเล่าถึงประวัติศาสตร์ในหมู่บ้านของเขา ให้ประชาชนหรือว่าให้ลูกหลานนี่มันจำไว้ว่าหมู่บ้านนี้มาอย่างไร มาอย่างไร นี่มันเป็นนิทานพื้นบ้าน มันก็มีที่มาที่ไป ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ได้ยินว่ามีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าองค์นั้นฝังอยู่ใต้ดินฝังอยู่ที่นั่นฝังอยู่ที่นี่ ใครเป็นคนพูดล่ะ แล้วใครเป็นคนบอกล่ะ

ทีนี้พอพระพูดขึ้นมานี่ โอ้โฮ มันน่าเชื่อถือมันน่าศรัทธา จะบอกว่าพระบรมสารีริกธาตุจะมารวมตัวกัน ในทุกๆ พระพุทธศาสนาหรือไม่ ถูกต้อง! ฉะนั้นพระบรมสารีริกธาตุนี่ แม้แต่พระบรมสารีริกธาตุที่เราว่าเป็นนานาชาติ ที่เราเอามาดูกัน ที่เราเอามาบูชากันนี่ คำว่าบูชานี่ เราบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนไตรนะ แก้วสารพัดนึกของเรานี่ เราพอใจอยู่แล้ว

ฉะนั้นสิ่งที่พระบรมสารีริกธาตุเอาเข้ามานี่ มันมีนะในทางความมั่นคงนี่ เมืองจีนนี่ สิ่งใดที่เป็นสมบัติของเขา เขาไม่ให้เอาออกนอกประเทศหรอก ฉะนั้นพระบรมสารีริกธาตุตัวจริงนี่มันจะอยู่ที่เมืองจีน แล้วที่เวลาเอาออกมา มันจะเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่เขาทำเหมือนมา มันไม่มีจริงหรอก ของจริงนั้น ไอ้พวกถาวรวัตถุของเมืองจีนนี่ เขาจะไม่ให้เอาออกนอกประเทศเลย ถ้าเขาจะเอาออกนอกประเทศนะ เขาจะทำเลียนแบบ แล้วเอาออกมา

ไอ้พวกเรานะ พระบรมสารีริกธาตุของเราในวัดพระศรีฯ ก็มี ในวัดในกรุงเทพฯ เราเยอะแยะเลย ของจริงเราไม่กราบ จะรอกราบไอ้ที่เขาทำเลียนแบบมาไง แล้วก็มากราบกัน โอ้โฮ น่าตื่นเต้น โอ้โฮ นานาชาติ โอ้โฮ รับกันใหญ่เลย แล้วของที่บ้านเราไม่ดู เหมือนกันเลยนี่ เหมือนกับเรานี่ พระอรหันต์ในบ้านนี่ไม่ดู พ่อแม่นี่ไม่ดู โอ้โฮ รักคนโน้นรักคนนี้ แล้วพ่อแม่มึงล่ะทำไมไม่ดู

นี่ก็เหมือนกัน ของในเมืองไทยไม่สนใจ ของในเมืองไทย พระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุในเมืองไทยเยอะแยะ ทำไมไม่กราบ โอ๋ย พอมา ไอ้ที่พูดนี่ไม่ใช่พูดว่า ในเมื่อเป็นชาวพุทธนะ พุทธนี่ทั้งโลกนี่เขาก็เป็นพุทธด้วยเหมือนกัน แต่กรณีข้อเท็จจริงนี่ ถ้าเรารู้ข้อเท็จจริงแล้วนี่ ของเราก็มีในบ้านเรา นี่เขาเรียกว่าอะไรนะ ไทยช่วยไทย คนไทย ไทยยังให้คนไทยเที่ยวในประเทศไทยเลย

แล้วในเมืองไทยมันมีของดีทั้งนั้น ทำไมพวกเราไม่เห็นของดีในบ้านเรา พระบรมสารีริกธาตุในบ้านเราเยอะแยะไป แล้วนี้ ต้องไปเอาของนานาชาติ แล้วในสำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ ที่ว่ามีพระบรมสารีริกธาตุอยู่นี่ อยู่ใต้วัดใต้วัดนี่ ใครเป็นคนเห็น ใครเป็นคนเห็น ตำนานพื้นบ้านนะ ของอย่างนี้นะ ประสาเรานี่ เราเรียกว่าประชาธิปไตย เราเคารพสิทธิในตัวเรา เราเคารพสิทธิของเขา ถ้าเขามีความเชื่อ เขามีตำนาน

ที่พูดนี่นะ เราพูดให้เป็นเรื่องของปัญญานะ เรื่องของปัญญา เรื่องของเรา เรามีสติปัญญาแล้วเราใคร่ครวญเอา แต่ที่ไหนเขามีตำนานพื้นบ้าน เขามีตำนานของเขา จากโบราณ จากครูบาอาจารย์ของเขา ได้มีตำนานกันมานี่ เราต้องเคารพเขา แต่ให้เราเชื่อไหม ไม่เชื่อ เราไม่เคยเชื่อเลยนะ แต่เราเคารพความเชื่อของเขา เคารพตำนานของเขา เคารพที่มันเป็นตำนานพื้นบ้านของเขา เขาเชื่อกันมา แล้วเขาเคารพบูชากันมา แต่สำหรับเรานะ เราไม่เชื่อ

อย่างที่พูดเมื่อกี้นี้นี่ ไม่เชื่อ ดูสิ แม้แต่พระพุทธเจ้า ๕ องค์นี่ พระศรีอริยเมตไตรยยังไม่ตรัสรู้นะ เขามีแล้วนะ ไปดูบางวัดสิ พระพุทธเจ้า ๕ องค์ เชิญกราบ เชิญทำบุญ เชิญปิดทอง เขาจะหาตังค์น่ะ พระศรีอริยเมตไตรยยังไม่ตรัสรู้เลย เขามีพระพุทธรูปองค์ที่ ๕ เขามีพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ มาให้ปิดทองแล้ว นี่พูดถึงสำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ แล้วทีนี้คำว่าสำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ เรื่องของเขานะ

นี่เราบอกว่าถ้าเป็นตำนานพื้นบ้าน เป็นเรื่องความเชื่อของเขา แต่ถ้าเป็นความจริงเราไม่เชื่อ เราไม่เชื่อ แม้แต่พระพุทธเจ้าบอก ของพระพุทธเจ้าเองก็จะมารวมตัวกัน แล้วจะทำลายตัวเอง แล้วนี่มันอยู่ในโลก แล้วประสาเราด้วยประสาเราว่าพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้ว ท่านปรินิพพานไปแล้วนี่ สิ่งนี้ เวลาหลวงปู่มั่นตรัสรู้ หลวงปู่มั่นท่านบรรลุธรรม ทำไมมีพระพุทธเจ้า มีพระอรหันต์มาอนุโมทนาล่ะ สิ่งนั้นน่ะเป็นความจริง

ไอ้พระธาตุนี่นะ คือกระดูก คือสิ่งที่ร่างกายนี่ เศษทิ้งเห็นไหม ถ้าเป็นผู้ที่มีคุณธรรมอยู่ในหัวใจนี่ เรื่องนี้มัน มันเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์ของผู้ที่ปฏิบัติ มันเป็นมหัศจรรย์ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ว่าจะไปยึดติด มันไม่ยึดติดหรอก เขาทิ้งหมด แม้แต่ชีวิตยังทิ้งเลย แม้แต่ความรู้สึกเรายังต้องทิ้งเลย เรายังต้องตายไปเลย แล้วจะไปรับรู้อะไรสิ่งนั้น แต่มันเป็นผลพลอยได้

แต่จริงๆ แล้วนี่ ครูบาอาจารย์เรานี่จะเป็นพระธาตุไม่เป็นพระธาตุนี่ เขารู้ตั้งแต่ยังไม่ตาย ไม่ตายเพราะอะไร เพราะหัวใจเป็นธรรมจริง หัวใจเป็นธรรมจริงนี่ แสดงธรรมออกมาเป็นธรรม ธรรมอันนี้นี่มันจะซักฟอก ซักฟอกให้กระดูกนั้นเวลาเผาแล้วเป็นพระธาตุได้ แต่เป็นพระธาตุแล้ว ถึงเวลาถ้าทำไม่ดีมันก็หายไป เลือนได้หายไปได้ เหมือนกระดูก ดูสิ เราปุถุชนกัน เราเผาเสร็จแล้วเราเอาไปลอยน้ำในแม่น้ำเห็นไหม เราลอยไปหมดน่ะ

นี้ก็เหมือนกัน แต่มันเป็นพระธาตุขึ้นมาเราก็เคารพบูชาเท่านั้นเอง แล้วมันจะไม่อยู่กับเราหรอก เพราะอะไร เพราะชีวิตมึงยังรักษาไม่ได้เลยมึงเคารพพระธาตุๆ มึงก็ตาย พอมึงตายแล้วพระธาตุมึงจะเอาไว้กับใครล่ะ พระธาตุที่มึงเอาไว้ มึงจะเอาไว้กับใคร ทีนี้ ถ้าเราเคารพหัวใจเราล่ะ พูดถึงอันนี้พูดถึงความเชื่อนะ ถ้าความเชื่อมันก็อย่างว่า แม้แต่ครูบาอาจารย์เรายังเคารพศรัทธา แต่ถ้าเป็นธรรมแล้วนี่ มันทิ้งหมด แล้วพอทิ้งหมดแล้วนี่ ใจที่ทิ้งหมดแล้วมันถึงจะเป็นอย่างนั้น

ฉะนั้นเอาวัตถุอย่างนี้มาพูดกันนะ มาเถียงกันตาย เพราะอะไร เพราะ ๑ เขาพูดเองว่า ได้ยินเราพูดอย่างนี้ อย่างนี้ในเว็บไซต์เรามี เราเคยพูดเรื่องนี้บ่อย ว่านี่ ถึงเวลาพระบรมสารีริกธาตุจะมารวมกัน แล้วจะทำลายตัวเองนี่ไง แล้วมันก็ไปขัดแย้งกับที่ว่าเขาได้ยินมาเห็นไหม พอเขาได้ยินมา เขาพูดอย่างนี้ปั๊บนี่ก็มาตอบว่า เขาเป็นตำนาน ถ้าเป็นความจริง จะพิสูจน์กัน เดี๋ยวเขาก็ว่าท้าอีกล่ะเนาะ ถ้าพิสูจน์บอกมา ที่ไหนจะพิสูจน์กัน

ถาม : ๑๐๔. กราบนมัสการหลวงพ่อสงบค่ะ หนูปฏิบัติธรรมมา ๓ แนวทางแล้วเจ้าค่ะ หนูรู้สึกว่าโดนทำคุณไสย รู้สึกมีอะไรบางอย่างเกาะอาศัยอยู่ที่ตัวเจ้าค่ะ ปัจจุบันกำลังภาวนาอีกแนวทางหนึ่งปีกว่า ยังรู้สึกว่า ยังมีสิ่งรบกวนชีวิตหนูอยู่ค่ะ หนูอยากทราบว่า การปฏิบัติธรรมช่วยรักษาได้หรือไม่เจ้าคะแล้วจะเริ่มต้นอย่างไร

หลวงพ่อ : เรื่องคุณไสยนี่นะ มันมีอยู่ ๒ อย่าง อย่างหนึ่งคือโดนคุณไสยจริงๆ คุณไสยนี่จะมีไหม คุณไสยนี่ คือไสยศาสตร์ คำว่าไสยศาสตร์นี่ คนเรานี่นะ ไสยศาสตร์นี่เวลาคนที่เขาไม่มีที่พึ่ง เห็นไหม ถ้าเราพึ่ง พุทโธๆ เราพึ่งศาสนานี่ ไสยศาสตร์ เห็นไหม พุทธศาสตร์ จะเหนือไสยศาสตร์ตลอด ธรรมะย่อมชนะอธรรม แต่ทีนี้พอคนเรานี่ เข้าไม่ถึงคุณธรรม ไม่ถึงพุทธศาสตร์ ก็อาศัยไสยศาสตร์

อาศัยไสยศาสตร์ก็อะไร ก็ไปดูพระออกฤทธิ์ไง พระองค์ไหนมีฤทธิ์มีเดชนี่ ไสยศาสตร์ทั้งนั้น โอ้โฮ พระองค์ไหนเหาะเหินเดินฟ้า พระองค์ไหนโอ้โฮ ทายจิตทายว่า ไสยศาสตร์ทั้งนั้นล่ะ แต่ถ้าเป็นพุทธศาสตร์ล่ะ ถ้าเป็นพุทธศาสตร์เห็นไหม ดูสิ อนาคตังสญาณของพระพุทธเจ้านี่ พระพุทธเจ้ายังไม่พูดเลย เพราะพูดไปแล้วมันเป็นดาบสองคม

เรื่องจริงนะ สมมุติเรานี่นะ จะมีอุบัติเหตุ แล้วมีคนรู้ว่าเราจะมีอุบัติเหตุ บอกเรานี่ เราไม่ทำอะไรเลยนะ พอเจออุบัติเหตุแล้วช็อกตายก่อนเลย แต่ว่าเราจะมีอุบัติเหตุ ผู้ที่มีอนาคตังสญาณนะ หงบเอ้ย ไปไหนระวังตัวดีๆ นะ เขาจะไม่บอกหรอก เพราะบอกเดี๋ยวมันช็อกตายก่อน คนที่เขามีคุณธรรมนี่ เขาจะบอกว่าระวังตัวดีๆ นะ คือเขาจะบอกด้วยอุบายไง เราจะบอกว่าหลวงปู่มั่น ท่านฉลาด ถ้าท่านพูดอะไรออกไปนี่นะ คนเชื่อก็ได้ คนไม่เชื่อก็ได้ ถ้าไม่เชื่อขึ้นมานี่ มันลบหลู่ มันก็เป็นบาปเป็นกรรมเขาอีกท่านจะบอกกระทบน่ะ บอกอ้อมไป คุณธรรมนี่นะ

คำว่าพุทธศาสตร์นี่ รู้จริง แล้วเป็นเรื่องของกรรมทีนี้แล้วไสยศาสตร์ล่ะ ไสยศาสตร์นี่ไม่จริง ไสยศาสตร์ไม่จริงเพราะอะไร ไสยศาสตร์ไม่จริงก็คือการคาดเดา การคาดเดา การพิจารณานี่ ไสยศาสตร์จะจริงไม่จริงยังไม่รู้ แต่พุทธศาสตร์น่ะจริง แต่จริงแล้วจะบอกเขานี่ บอกเขาแล้ว เหมือนกับเรานี่ เห็นไหม เวลาไม่สบาย รักษาจะหายไหมคะ หายไหมคะ หาย ถ้าหายแล้วเราจะต้องดูแลอย่างไร แต่ถ้าบอกว่า นี่ๆ พอเป็นไสยศาสตร์นะ มันจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น เราไม่เป็นนะ เราคิดให้เราเป็นเลย

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า โดนคุณไสย การปฏิบัติจะช่วยรักษาได้หรือไม่ การปฏิบัติจะช่วยรักษา เพราะการปฏิบัตนี่มันจะช่วยให้เรากลับมาเป็นปรกติ เรานี่เป็นปรกติ คำว่าโดนคุณไสยนะ แล้วการปฏิบัติใช่ไหม ถ้าเรามีศีลใช่ไหม เราพุทโธๆ พุทโธๆ อยู่นี่ คุณไสยจะเข้าไม่ได้ คุณไสยจะเข้าต่อเมื่อคนนั้นเผลอ คนนั้นเผลอจิตอ่อนนี่ คุณไสยจะมีประโยชน์ อย่างพวกเรานี่ ที่ว่า โดนคุณโดนไสยกันนี่เพราะอะไรรู้ไหม

สังเกตได้ บางทีนี่ เราอยู่เฉยๆ เรายังไม่มีสติเลย เหม่อลอยนี่ ตรงนั้นน่ะมันเข้า แต่ถ้าเรามีสติอยู่เข้าไม่ได้หรอก เราพูดบ่อย เวลาคนเขามาหานะ ถ้าผีเรือนมั่นคง ผีป่าเข้าไม่ได้ ผีเรือนคือตัวจิตเรานี่ ถ้าจิตเรามั่นคง สติเรามั่นคง อย่างอื่นนี่เข้าเราไม่ได้เลย แต่ไอ้ผีเรือนน่ะ ไม่ใช่ไม่ให้มา มันจะกวักมือเรียกเขาเลยผีเรือนนี่ มันไม่เชื่อมั่นตัวมันเองไง พอผีเรือนไม่เชื่อมันตัวเองก็กวัก มันจะไปอาศัยเขานี่ ผีเรือนมันจะไปเรียกผีป่าเข้ามา แล้วถ้าผีเรือนไปเรียกผีป่าเข้ามานี่ คุณไสย มันเข้าได้เห็นไหม

แต่ถ้าเราพูดว่า การปฏิบัติจะช่วยได้อย่างไร การปฏิบัติที่ว่า พุทโธๆ พุทโธๆ นี่เรามีสติปัญญาอยู่นี่ ผีเรือนมั่นคง ผีป่าไม่มีสิทธิ์ ผีป่าไม่มีสิทธิ์ เรายืนยันเพราะอะไร เรานี่ธุดงค์มาเยอะ อยู่ในป่าเจอมาหมดนะ โอ้โฮ ทีแรกไปธุดงค์ เราออกธุดงค์ปีแรก บวชปั๊บออกธุดงค์เลย แล้วมัน ๓ เดือนนี่ ๓ เดือนจะรู้อะไร ๓ เดือนก็แค่รักษา ทีนี้พอไปนี่ ไปทีแรกไปกับลูกศิษย์หลวงปู่ขาว เขาเกือบ ๒๐ พรรษาละ ไปอยู่ในป่านะ ไปกันสององค์

สุดท้ายก็ไปนอนต่างคนต่างนอน ถึงตกเย็นจะมาปลงอาบัติกันตลอดเลย เขากลัวเห็นไหม นี่ไง เขาไม่พุทธศาสตร์ ถ้าพุทธศาสตร์จะมีสติ ไอ้เรานี่ไม่รู้เรื่องนะ เราออกธุดงค์ใหม่ กำลังตื่นเต้น โอ้โฮ ทุกอย่างมันดีไปหมดน่ะ เขามาปลงอาบัติเราก็แปลกใจ พอเราอายุพรรษาเรามากขึ้นเราถึงเข้าใจ อ๋อ เขาอยู่ในป่า เขากลัวไง เขากลัวสิ่งอะไรที่มันอยู่ในป่า แต่สำหรับเรานะ เราถือว่า เรามาธุดงค์ ศีลบริสุทธิ์

พอศีลบริสุทธิ์นะเสือมันมานะ เสือมันมาเวลามันมานี่ มันมาร้องเลียนเสียงไก่ มันเอาหางมันตบพื้น ปั๊บ ปั๊บ ปั๊บ ไอ้ที่มาด้วยนะ ตกใจจะตาย แล้วเขาไม่เป็นอันกินอันนอนนะ พอเช้าขึ้นมานี่ ออกบิณฑบาตด้วยกัน เขาถามว่า หงบ เมื่อคืนนี้เอ็งได้ยินอะไรไหม ไอ้เรามันคนเมืองนะ นอนหลับปุ๋ย ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้เรื่อง เขาบอกว่าเมื่อคืนเสือมันมานะ มันจะเอากูไปกินนี่ ไม่รู้เรื่อง

แล้วพอออกไปนี่ มันก็มาขี้ รอยเสือรอยเท้าเสือ มันกินเก้ง มันขี้ออกมามันมีเล็บมันมีขน มีหมดน่ะ แต่เราก็ไม่กลัว ไม่กลัว ตอนสุดท้ายมันมานอนอยู่กับเราก็ไม่กลัวนี่ๆ พูดถึงเสือ แต่ไอ้พูดถึงเรื่องจิตวิญญาณก็มี ถ้าจิตเราดีเห็นไหม เราอยู่ในป่านี่ถ้าศีลเราดี ไอ้คนที่เขากลัว เขาอะไรนี่ เพราะอะไร เพราะเขาบกพร่องเขาเลยกลัว นี่การปฏิบัติจะช่วยได้อย่างไร การปฏิบัติก็ช่วยให้เราปรกติเห็นไหม

น้ำเต็มแก้วนี่ น้ำอะไรก็เติมไม่ได้ เติมมาในแก้วนั้น น้ำจะล้นแก้วหมด จิตของเราปรกติ เราดูแลของเราอยู่นี่ สิ่งใดจะเข้ามาไม่ได้หรอก นี่การปฏิบัติจะช่วยได้อย่างนี้ไง ทีนี้การปฏิบัติจะช่วยได้โดยที่ว่ามันป้องกันในตัวมันเองอยู่แล้วเห็นไหม แต่เรายิ่งปฏิบัติไปนะ เรายิ่งเข้าใจสัจธรรมนะ พอเราเข้าใจสัจธรรม เพราะอะไรรู้ไหม ก็ย้อนกลับ พอมันย้อนกลับ

ดูอย่างพระโมคคัลลานะ ไม่ใช่โดนคุณไสย แต่เพราะเป็นเวรกรรมเห็นไหม ที่โดนเขาทุบตายน่ะ นั่นพระอรหันต์นะ นั่นเรื่องเป็นเวรเป็นกรรม แต่ของเรานี่เรื่องคุณไสย แล้วรักษาใจเรา การปฏิบัติช่วยได้ ช่วยได้โดยความปรกติของใจ ถ้าใจปรกติแล้วนะ พุทโธๆ พุทโธๆ นี่เราพูดด้วยความมั่นใจของเราว่า ครูบาอาจารย์ของเรานี่ ออกมาทำประโยชน์กับโลก ทำประโยชน์กับสาธารณะนี่ มันต้องไปขัดแย้ง หรือไปทำลายผลประโยชน์ของบุคคลคนอื่นบ้าง

คนที่เขาพยายามจะหาทางโต้แย้งนี่ เราเชื่อมั่นว่า เขาต้องทำอย่างนี้กันบ้าง แต่ไม่เข้าครูบาอาจารย์เราเลย เพราะครูบาอาจารย์เราปฏิบัติธรรม ครูบาอาจารย์นี่ปฏิบัติธรรม เรื่องนี้ช่วยได้เพราะเหตุนี้ไง เรื่องนี้จะเข้ามาถึงครูบาอาจารย์เราไม่ได้หรอก มันตกอยู่ข้างนอก มันตกอยู่หมดล่ะ

ฉะนั้น เรื่องที่ว่าการปฏิบัติจะช่วยได้หรือไม่นะ หนูปฏิบัติมาแล้ว ๓ แนวทางรู้สึกว่าจะโดนคุณไสย รู้สึกว่า ถ้ารู้สึกว่าโดนคุณไสยนี่ให้กำหนด พุทโธๆ พุทโธๆ ให้ชัด หรือพยายามตั้งสติไว้นี่ รู้สึกว่ามีบางอย่างมาเกาะอยู่ที่ตัวเจ้าค่ะ สิ่งใดจะมาเกาะอยู่นี่นะ เรารู้สึกเหมือนข้อแรก จิตรู้อาการของจิต สิ่งใดจะมาเกาะอยู่เวลานั่งภาวนาไปนี่ ถ้าคนภาวนาโดยที่ไม่มีสตินะ นั่งๆ อยู่นี่ มันจะเหมือนคนมาสะกิดอยู่ตลอดเวลา ใครจะมาสะกิดเราไม่สนใจ พุทโธๆ พุทโธๆ อย่างเดียวเลย สิ่งนี้มันจะค่อยๆ จางหายไป จางหายไป

เรื่องเวรเรื่องกรรมนี่ มันจะค่อยๆ จางหายไป เราอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรไปนี่ นี่เหมือนกับเรานี่ ทำผิดกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แล้วเราขออภัยเขาตลอดเวลา นี่เวลาขออภัย ขอโทษ อุทิศส่วนกุศลให้เขา เขาจะรับไม่รับนี่ เหมือนกับเรา เราทำให้ใครผิดใจแล้วเราพยายามไปทำดีกับเขา เขาจะเชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของเขา

อันนี้ก็เหมือนกัน ในการปฏิบัติที่มีสิ่งใดมาเกาะตัวอยู่นี่ สิ่งที่มันเป็นเรื่องเวรเป็นเรื่องกรรมนี่ ถ้าใครจะมาส่งคุณไสยมาใส่เรา ใครเขาจะคิดไม่ดีกับเรา เขาจะทำสิ่งใดก็แล้วแต่ เรามีศีลของเราที่บริสุทธิ์ แล้วเรากำหนดพุทโธของเรา สิ่งนั้นจะป้องกันตัวเราเลย เข้าเราไม่ได้ เข้าเราไม่ได้ แต่ทำไมคนอื่นเข้า มี มีคนพามาหาเยอะ บอกว่าเด็กคนนั้นโดนของ คนนี้โดนของนี่

พอโดนของนี่นะ โดนคุณไสยนี่ ถ้าพูดถึงเราช่วยตัวเราเองได้ มันก็เหมือนกับเราป่วยไข้ แล้วเรารักษาตัวเราเองนี่ มันจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่ถ้าเราป่วยไข้ แล้วเรารักษาตัวเราเองไม่ได้ เราก็ไปหาหมอรักษาเรา ถ้าเราป่วยไข้ ถ้าโดนสภาพแบบนี้แล้วนี่ มันก็ไปหาครูบาอาจารย์ที่เขาจะแก้เรื่องคุณไสย ก็ต้องค่อยๆ แก้กันไป แต่ถ้าเราปรกติ เราแก้ของเราได้นะ เรายืนของเราได้แล้วนะ คนอื่นมันไม่เกี่ยวไง

แต่ไอ้การปฏิบัติธรรมนี่ โดยการปฏิบัตินี่ โดยการปฏิบัติช่วยเหลือได้ไหม ช่วยเหลือได้เต็มที่เลย และป้องกันได้ด้วย แต่ถ้า พอมาโดนคุณไสย พวกเราจะเชื่อกันไหม ว่าพวกเราเกิดมานี่มีเวรมีกรรม ทีนี้เวรกรรมของคนมันไม่เหมือนกันใช่ไหม ฉะนั้นเวลาการทำสิ่งใด เวรกรรมเวลาถึงคราวถึงวาระแล้วนี่ เราค่อยๆ แก้ไข แก้ไขไป แก้ไขแล้วทำสิ่งนั้นให้มันหายไป ฉะนั้นการแก้ไขที่ดีที่สุด คือการแก้ไขที่ตัวเราเองก่อน เรานี่ต้องช่วยตัวเราเองจนสุดความสามารถแล้วนี่ แล้วถ้าไม่ได้นั้นค่อยอีกกรณีหนึ่ง ค่อยๆ แก้กันไป โลกนี้มันพร่องอยู่เป็นนิจนะ แล้วเรื่องของเวรของกรรมนี่ มันจะมหาศาลเลย มันจะมีเยอะมาก นี่พูดถึงคุณไสยเนาะ วันนี้เอาแค่นี้ล่ะเนาะ เอวัง